ถ้าความเร็วแสงลดลง จะเกิดอะไรขึ้น?


บางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่มาตั้งแต่แรกหรือก่อนเราจะลืมตาขึ้นมาดูโลก เรามักจะไม่ค่อยตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปของมันว่ามันเกิดมาจากไหน มันมาได้ยังไง เพราะมันมีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันคงจะมีเหตุผลของการอุบัติขึ้นนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปตั้งคำถามกับสิ่งที่คงทนถาวรและไม่มีวันสูญหายไป แต่ถ้าวันหนึ่งเรากลับสงสัยขึ้นมาว่า  สิ่งที่มีอยู่มาตั้งแต่แรกที่คงทนถาวรและไม่มีวันสูญหายไปเนี่ยกลับค่อย ๆ เลือนหายไปหรือเดินทางมาหาเราช้าลงจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ ?

สิ่งนั้นที่กำลังพูดถึง เรากำลังพูดถึง “แสง” แสงจากดวงอาทิตย์นี่แหละ เราเคยตั้งคำถามกันไหมว่า แสงอาทิตย์ที่เราเห็นหรือที่ได้สัมผัสความร้อนระอุของมันอยู่แทบทุกวันคืออะไร ?

ก่อนอื่นเลย แสงคืออะไร?

แสงอาทิตย์เป็นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ปล่อยออกจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงในช่วงอินฟราเรด แสงที่ตามองเห็น และอัลตราไวโอเล็ตบนโลก แสงอาทิตย์ถูกกรองผ่านชั้นบรรยากาศโลก และเห็นชัดเป็นแสงกลางวันเมื่อดวงอาทิตย์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์มีสีขาวเกิดจากแสงทั้ง 7 สีมารวมกัน

ระยะทางจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกมีระยะทาง 149.6 ล้านกิโลเมตร แต่ระยะเวลาที่แสงเดินทางจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกใช้เวลาเพียงแค่ 8 นาทีกว่า ๆ เท่านั้น ถือว่าเป็นความเร็วที่เร็วมากเมื่อเทียบกับระยะทาง แสงมีความเร็วมากถึง 186,282 ไมล์/วินาที หรือ 299,792 กิโลเมตรต่อวินาที ถ้าใช้ความเร็วนี้ในการเดินทางรอบโลก คุณจะเดินทางรอบโลกได้ถึง 7.5 รอบใน 1 วินาที

ปัจจุบันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยึดโยงอยู่กับแสงหรือใช้แสงเป็นตัวเปรียบเทียบ หนึ่งตัวอย่างที่จะหยิบยกมาพูดก็คือหน่วยระยะทางในทางดาราศาสตร์ที่เมื่อพูดออกมาแล้วทุกคนก็ต้องร้องอ๋อทันทีอย่างปีแสง (light-year) โดย 1 ปีแสงถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือระยะทางที่แสงเดินทางได้ทั้งหมดเมื่อเวลาบนโลกผ่านไป 1 ปี ซึ่งระยะทาง 1  ปีแสงเท่ากับ 9 ล้านล้านกิโลเมตร เท่ากับว่าใน 1 ปี แสงสามารถเดินทางได้มากถึง 9 ล้านล้านกิโลเมตร

เราได้เห็นว่าแล้วว่าแสงมีประโยชน์กับเราเป็นอย่างมากทางด้านดาราศาสตร์อย่างที่ได้พูดไป แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าแสงเดินทางถึงเราโดยมีความเร็วที่ช้าลง ?

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าความเร็วแสงลดลง

สิ่งแรกที่ได้มีผู้รู้มาให้คำตอบ คือระยะเวลาที่แสงจะเดินทางมาถึงโลกจะใช้เวลานานขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ต้องทำความเข้าใจก่อน เวลา 8 นาทีที่แสงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลกหมายถึง แสงได้เดินทางออกจากดวงอาทิตย์มานานถึง 8 นาทีแล้ว เราถึงจะเห็นแสงนั้น ถ้าสมมุติว่าความเร็วแสงลดเหลือ 50 เมตรต่อวินาที นั่นเท่ากับว่า แสงอาทิตย์เดินทางออกมาแล้วนานถึง 96 ปี 4 เดือนกว่า ๆ เราถึงจะเห็นจะแสงนั้น ซึ่งการที่แสงเดินทางมาช้าเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศอีกด้วยเนื่องจากแสงอาทิตย์เป็นเหมือนแหล่งที่ให้ความอบอุ่นแก่โลก อาจจะเกิดเป็นยุคน้ำแข็งขึ้นมาเลยก็ได้ อาจจะเห็นประเทศไทยมีหิมะจริง ๆ ก็คราวนี้แหละ

อีกสิ่งหนึ่งที่มีความเป็นได้เมื่อความเร็วแสงลดลง คือภาพที่เราเห็นด้วยตาจะเหลื่อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ด้วยความเร็วแสงปกติทำให้ภาพที่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความแม่นยำสูง พูดง่าย ๆ ก็คือ เหตุการณ์เกิดขึ้นปุ๊บตาเห็นได้โดยทันที แต่ถ้าแสงมีความเร็วที่ลดลงจะทำให้ภาพที่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นคนละเรื่องกันเลย เช่น เหตุการณ์เกิดไปแล้วเมื่อ 10 นาที แต่เราเพิ่งเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 นาทีก่อน ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ผู้คนจะใช้ชีวิตกันยากขึ้นเป็นอย่างมาก เราจะได้เห็นแต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ได้มีทันต่อเวลาจริง เปรียบเทียบง่าย ๆ ให้เห็นภาพ เราคงโดนกระสุนยิงจนพรุนแล้วแต่เราดันเพิ่งเห็นว่ากระสุนกำลังพุ่งมาทางเรา

สรุปเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หากความเร็วแสงลดลง

1.เราจะได้ยินฟ้าร้องก่อนฟ้าแลบ

จินตนาการว่า อยู่ดีๆคนข้างเราจะล้มลงไปพร้อมเสียงฟ้าร้อง แล้วสักพักถึงจะเห็นฟ้าผ่าลงมาที่จุดนั้น

2.ปากคนจะไม่ตรงกับเสียง

อย่างที่บอกไปตอนต้น ภาพที่เราเห็นนั้นเกิดจากแสงไปกระทบวัตถุ แล้วมาเข้าตาเรา ดังนั้น เมื่อแสงเดินทางช้าลง (สมมติว่าช้าลงกว่าเสียง) เราจะเห็นปากคนที่อยู่ไกลจากเราพูดไม่ตรงกับเสียง คือเสียงจะมาก่อนที่ปากจะขยับนั่นเอง

3.คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ และเทคโนโลยีที่ใช้แสง จะใช้ไม่ได้

เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆของมนุษย์ที่เกี่ยวพันกับแสง จะใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคการสื่อสาร นึกภาพปัจจุบันนี้ กว่าเราจะคุยกับมนุษย์อวกาศบนดวงจันทร์ได้ ต้องรอดีเลย์หลายวินาที ซึ่งถ้าแสงมีความเร็วช้าลง คลื่นวิทยุที่เป็น Photons อย่างหนึ่งเหมือนอนุภาคแสง ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

4.โลกและจักรวาลที่เรารู้จัก จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

กล่าวคือ วิวัฒนาการของมนุษย์ และการอุบัติของจักรวาลนั้นจะเปลี่ยนไป จักรวาลจะไม่ใช่จักรวาลที่เรารู้จัก เพราะมันจะต้องเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์และหลักฟิสิกส์ทั้งหมด โดยอ้างอิงที่ความเร็วแสงที่ลดลงนั่นเอง

ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่ได้พูดไปนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่า เมื่อเราศึกษาความเป็นไปได้ของเหตุการณ์และสมมติฐานต่างๆแล้ว จะมีโอกาสมั้ยที่เราจะได้อะไรจากองค์ความรู้นั้นและนำมาต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆของมนุษยชาติได้